คีเลี่ยน เอ็มปัปเป้ กระตุ้นตัวเองด้วยข้อความปลุกใจในทวิตเตอร์ หลังจากที่ทีมชาติฝรั่งเศสของเขาพ่ายในเกมฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศต่อทีมชาติอาร์เจนตินา
แม้ว่ากองหน้าจากปารีส แซงต์ แชร์กแมง จะพยายามอย่างเต็มที่แล้วแต่ทัพตราไก่ก็ไม่สามารถเอาชนะทัพฟ้าขาวได้ ประตูจากลิโอเนล เมสซีและอังเคล ดิ มาเรียทำให้ทีมจากทวีปอเมริกาใต้ออกนำไปก่อนในช่วงก่อนพักครึ่งแรก หลังจากนั้นเอ็มปัปเป้มายิงสองประตูติดต่อกันภายในเวลาไม่กี่นาทีเพื่อพาทีมตีเสมอในช่วงท้ายครึ่งหลัง ก่อนที่อาร์เจนตินาจะยิงได้อีกครั้งในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่เอ็มบัปเป้ก็มายิงจุดโทษพาทีมตีเสมอจนกระทั่งเกมต้องตัดสินหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งคิงส์ลีย์ โกม็อง และออเรเลียน โชอาเมนี สองแข้งของทีมชาติฝรั่งเศสยิงไม่เข้า ทำให้พวกเขารวมไปถึงคีเลี่ยน เอ็มปัปเป้ต้องอกหักในทัวร์นาเม้นต์นี้ อย่างไรก็ตามกองหน้าชาวฝรั่งเศสยังได้รางวัลปลอบใจเมื่อเขาคว้ารางวัลดาวซัลโวสูงสุดประจำฟุตบอลโลก2022ไปครองด้วยการยิงไปถึงแปดประตูและจ่ายอีกสองแอสซิสต์ ภายหลังจบเกม นักเตะวัย 23 ปีได้ทวีตว่า “แล้วเราจะกลับมา (พร้อมใส่รูปธงชาติฝรั่งเศส)
เราไม่ควรมองข้ามความสำเร็จของเอ็มปัปเป้เพียงเพราะทีมของเขาพลาดจุดโทษ เพราะการทำประตูในฟุตบอลโลกได้ถึง 12 ประตูและการเล่นในรอบชิงชนะเลิศมาแล้ว 2 ครั้งเมื่อเทียบกับวัยของเขานั้นดูน่าเหลือเชื่อมาก มีการคาดการณ์กันว่าเอ็มปัปเป้จะมาสามารถทำลายสถิติฟุตบอลโลกในทุกรายการได้ในอนาคตหากเขายังคงรักษามาตรฐานเหล่านี้ไว้ได้ ซึ่งผลงานในปีนี้ส่วนหนึ่งถือว่าเป็นการสานต่อความสำเร็จของพวกเขา นปัจจุบันกล รวมถึงโอกาสที่เขาจะก้าวขึ้นมาเป็นอีกนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกตามรอยเมสซี่และโรนัลโดอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเพราะเมื่อสี่ปีที่แล้วเอ็มปัปเป้มีส่วนร่วมพาทีมชาติฝรั่งเศสคว้าแชมป์โลก2018 ที่รัสเซีย โดยเขายิงได้ 4 ประตูในทัวร์นาเมนต์นั้น ซึ่งเส้นทางการสานต่อความสำเร็จของเอ็มปัปเป้หลังจากนี้ยังอีกยาวไกล รวมถึงโอกาสที่เขาจะก้าวขึ้นมาเป็นอีกนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกตามรอยเมสซี่และโรนัลโดอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเมื่อพิจารณาจากช่วงอายุของเขาในปัจจุบัน
คีเลี่ยน เอ็มปัปเป้ ทำแฮตทริกในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งที่สอง มีนักฟุตบอลเพียงสองคนเท่านั้นที่ยิงได้สามประตูในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก ก่อนหน้านี้มีเซอร์ เจฟฟรีย์ เฮิร์สท์ ที่ทำได้ก่อนเอ็มบัปเป้ เฮิสต์ทำได้ 3 ประตูในฟุตบอลโลกปี 1966 พาอังกฤษเอาชนะเยอรมันตะวันตกด้วยสกอร์ 4-2 และเอ็มบัปเป้ก็ทำได้อีกครั้งใน 56 ปีต่อมา